แปลเพลง MANTRA - Bring Me The Horizon
Do you wanna start a cult with me?
I’m not vibrating like I oughta be
I need a purpose, I can’t keep surfing
Through this existential misery
Now, we’re gonna need some real estate
But if I choose my words carefully
Think I could fool you that I’m the guru
Wait, how do you spell “epiphany”?
คุณอยากจะมาสร้างลัทธิกับผมไหม
เพราะผมไม่ได้สั่นไหวอย่างที่ควรจะเป็น
ผมอยากมีจุดมุ่งหมาย ผมไม่อยากล่องลอยไปเรื่อยๆแล้ว
ผ่านความทุกข์ยากของอัตตานี้
ตอนนี้เราจำเป็นต้องมีที่ลงหลักปักฐานของเราเอง
หากผมระวังถ้อยคำของผมมากพอ
คิดว่าผมคงหลอกคุณได้ว่าผมเป็นกูรู
เดี๋ยวก่อน คุณสะกดคำว่า “epiphany” อย่างไงนะ
Before the truth will set you free, it’ll piss you off
Before you find a place to be, you gonna lose the plot
Too late to tell you now, one ear and right out the other one
‘Cause all you ever do is chant the same old mantra
Yeah!
ก่อนที่ความจริงจะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ มันจะทำให้คุณหัวร้อนก่อน
ก่อนที่คุณจะพบสถานที่ที่จะเป็นไป คุณจะเสียแบบแปลนที่วางไว้แล้ว
สายเกินไปที่จะบอกคุณในตอนนี้ เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะทั้งหมดที่คุณจะทำได้คือการร่ายบทสวดเดิมซ้ำๆ
Could I have your attention, please?
It’s time to tap into your tragedy
Think you could use a new abuser
Close your eyes and listen carefully
Imagine you’re stood on a beach
Water gently lapping at your feet
But now you’re sinking, what were you thinking?
That’s all the time we have this week
คุณช่วยสนใจผมหน่อยได้ไหม ขอร้องละ
มันถึงเวลาสัมผัสกับโศกนาฏกรรมของคุณแล้วนะ
คิดว่าคุณคงใช้อำนาจใหม่ของคุณได้
หลับตาแล้วลองฟังดีๆสิ
จินตนาการว่าคุณยืนอยู่ที่ชายหาด
น้ำซักมาโดนเท้าของคุณอย่างอ่อนโยน
แต่ตอนนี้คุณกำลังจมลงไปแล้ว คุณคิดอะไรอยู่น่ะ
นั้นคือเวลาทั้งหมดที่เรามีในอาทิตย์นี้เลยนะ
Before the truth will set you free, it’ll piss you off
Before you find a place to be, you gonna lose the plot
Too late to tell you now, one ear and right out the other one
‘Cause all you ever do is chant the same old mantra
ก่อนที่ความจริงจะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ มันจะทำให้คุณหัวร้อนก่อน
ก่อนที่คุณจะพบสถานที่ที่จะเป็นไป คุณจะเสียแบบแปลนที่วางไว้แล้ว
สายเกินไปที่จะบอกคุณในตอนนี้ เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะทั้งหมดที่คุณจะทำได้คือการร่ายบทสวดเดิมซ้ำๆ
And I know this doesn’t make a lot of sense
But do you really wanna think all by yourself now?
All I’m asking for’s a little bit of faith
You know it’s easy to believe
And I know this doesn’t make a lot of sense
You know you gotta work the corners of your mind now
All I’m asking for’s a little bit of faith
You know it’s easy to, so easy to believe
และผมรู้ว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่
แต่ตอนนี้คุณอยากจะคิดถึงเรื่องทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวจริงๆหรอ
ทั้งหมดที่ผมขอก็แค่ความศรัทธาสักนิด
คุณรู้มันง่ายที่จะเชื่อ
และผมรู้ว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่
คุณก็รู้ว่าคุณต้องยึดสิ่งนี้เป็นหลักในจิตใจของคุณตอนนี้
ทั้งหมดที่ผมขอก็แค่ความศรัทธาสักนิด
คุณรู้มันง่ายที่จะ เพราะมันง่ายมากที่จะเชื่อ
Before the truth will set you free, it’ll piss you off
Before you find a place to be, you gonna lose the plot
Before the truth will set you free, it’ll piss you off
Before you find a place to be, you gonna lose the plot
Too late to tell you now, one ear and right out the other one
‘Cause all you ever do is chant the same old mantra
Oh!
ก่อนที่ความจริงจะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ มันจะทำให้คุณหัวร้อนก่อน
ก่อนที่คุณจะพบสถานที่ที่จะเป็นไป คุณจะเสียแบบแปลนที่วางไว้ไป
สายเกินไปที่จะบอกคุณในตอนนี้ เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะทั้งหมดที่คุณจะทำได้คือการร่ายบทสวดเดิมซ้ำๆ
ควาหมายของเพลง
"Starting a relationship—especially a marriage—is like starting a cult, a small two-man cult, because you have to give yourself over completely to this person, you have to trust them, you have to love them unconditionally even if you start thinking ‘This is a bit suspect’ or ‘This is a bit dodgy.’ That’s what a relationship is, it’s exactly the same as a cult so that’s where the thinking behind the song came from."
"การเริ่มความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งงาน มันก็เหมือนกับการเริ่มสร้างลัทธิเล็กๆของคนสองคน เพราะคุณต้องยอมมอบตัวเองให้อย่างสมบรูณ์แบบกับคนคนนี้ คุณต้องเชื่อใจพวกเขา คุณต้องรักพวกเขาอย่างไม่มีข้อแม้ แม้ว่าคุณจะเริ่มคิดว่า'นี้มันน่าสงสัยนิดหน่อยนะ' หรือ 'นี้มันเชื่อไม่ค่อยได้เท่าไหร่' นี้คือสิ่งที่ความสัมพันธ์เป็น มันเหมือนกับแนวคิดของลัทธิเลย และนี้คือสิ่งที่เราคิดก่อนจะออกมาเป็นเพลงนี้"
ก็ตามนั้นเลยค่ะ เพลงนี้คือการเปรียบเทียบชีวิตคู่ว่าเหมือนกับการสร้างลัทธิรวมกันของคนสองคน เป็นลัทธิ์ที่ไม่ค่อยเมคเซนส์เท่าไหร่ แต่ผู้ที่เชื่อก็ยังเชื่อต่อไป และต่อให่เริ่มหมดศรัทธาแล้วแต่เมื่อหลวมตัวเข้ามาแล้วก็คงทำได้แต่อดทนแล้วท่องบทสวดเดิมซ้ำๆต่อไป
ตรงท่อน 'I’m not vibrating like I oughta be' vibrating นี้น่าจะหมายถึงการสั่นสะเทื่อนของร่างกายที่มีต่อสถานะการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นค่ะ
จากตามรูปจะเห็นว่า ความรัก (Love) ความสุข(Joy) ความสงบ (Harmony/Peace) การนิพพาน (Enlightenment ) ต้องใช่การสั่นสะเทื่อนของอารมณ์ที่สูงมาก ซึ่งเขาในเพลงนี้บอกว่าเขายังไม่เคยสั่นสะเทื่อนถึงขั้นนั้นสักที ซึ่งอาจจะเป็นความรัก ความสุข หรือความสงบค่ะ
' how do you spell “epiphany”?' ท่อนนี้ epiphany หมายถึง บางสิ่งบางอย่างที่คุณเข้าใจหรือตระหนักรู้คล้ายๆกับการเข้าใจถึงบางสิ่งแบบฉับพลันในนิกายเซ็นอะคะ แบบหัวสมองสว่างวาบเลยอะไรแบบนี้ค่ะ แต่ออกในเชิงศาสนาหน่อยๆ (งงไหมเนี้ย) แต่ในMV ของเพลง
แต่ในMV ของเพลง เราจะเห็นว่า 'Epiphany' ไม่ได้สะกดตามเนื้อเพลงแต่สะกดเป็นคำว่า 'Epifanny' แทนซึ่งความหมายของคำนี้ก็คือ เวอร์จิ้นของผู้หญิงค่ะ
related posts
2018
พฤศจิกายน 29, 2561
0
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น